ล้างผักผลไม้อย่างไรให้สะอาดและปลอดภัย
ในปัจจุบันมีผู้คนหันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น นอกจากการออกกำลังกายแล้วยังใส่ใจเรื่องอารหารที่รับประทาน จะเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มากกว่าอาหารที่แปรรูป คือ
- ผัก อย่างเช่น ฟักทอง แครอท กะหล่ำ บร็อกโคลี ผักคะน้าฝรั่ง มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาด เป็นต้น เพื่อให้ได้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆที่ช่วยบำรุงร่างกาย
- ผลไม้ อย่างเช่น สับปะรด ส้ม องุ่น กล้วย แอปเปิล อโวคาโด สตรอเบอรี่ เป็นต้น
รศ.ดร.สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์ หัวหน้าโครงการวิจัยผักและผลไม้ที่ปลอดภัยเพื่อครัวโลก ศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรม กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกระบุว่า คนเราต้องรับประทานผัก และผลไม้อย่างน้อง 4 ขีด หรือ 400 กรัม แต่การจะรับประทานผักและผลไม้ให้ปลอดภัยจากสารพิษตกค้างนั้นก็ควรล้างผักผลไม้ให้สะอาด ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าผักผลไม้นั้นมักจะมีสารพิษตกค้างอยู่บนผักและผลไม้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายทำให้อาหารเป็นพิษและหากมีการสะสมในร่างกายอาจทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง ส่วนมากจะมาจากการได้รับสารจากยาฆ่าแมลง หรือเชื้อแบคทีเรียที่ติดมากับผักผลไม้
การปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียและสารตกค้างจากยาฆ่าแมลง ซึ่งมีทำการวิจัยแล้วพบว่ามีตัวเลขที่น่าวิตก เพราะผักไทยที่พบ พบว่าปนเปื้อนถึงระดับ 90-100% ซึ่งพบในผักทุกชนิดที่มีการปนเปื้อน เช่น ผักคะน้า ผักกะหล่ำปลี ตามตลาดสด หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต พบว่าปนเปื้อนทั้งหมด
จากการเก็บข้อมูลสุ่มตรวจผักและผลไม้จากหลายจังหวัด 100 แห่ง ในระยะเวลา 8-12 เดือน
ตัวอย่างผักที่มีสารปนเปื้อน
1.ผักคะน้า พบสารปนเปื้อนมากถึง 12 ชนิด
2.มังคุด พบสารปนเปื้อนมากถึง 20 ชนิด
3.ส้ม พบสารปนเปื้อนมากถึง 21 ชนิด
จากการวิจัยพบกว่าผักและผลไม้ที่จำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตมีเชื้อแบคทีเรียและสารพิษในปริมาณสูงมาก และมีสารตกค้างมากเท่าๆ กับที่พบในตลาดสด ซึ่งราคาและสถานที่จัดจำหน่ายก็ไม่สามารถการันตีความสะอาดปลอดสารพิษได้
ดังนั้นเราจึงมีวิธีการล้างผักผลไม้ให้สะอาดและปลอดภัยมาแนะนำเพื่อจะได้รับประทานผักและผลไม้อย่างสบายใจ และเพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค
วิธีล้างผักและผลไม้
วิธีที่ 1 เปิดน้ำไหลผ่าน เด็ดผักออกเป็นใบๆ จากนั้นนำผักแช่น้ำไว้ประมาณ 15 นาที แล้วเปิดน้ำล้างด้วยน้ำสะอาดไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง ใช้มือถูเบาๆ วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและสารเคมีตกค้างได้ 54 – 63%
วิธีที่ 2 ใช้ด่างทับทิม (Potassium permanganate – โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต) โดยใช้เกล็ดทับทิม 20-30 เกล็ด แช่ผสมน้ำเปล่าประมาณ 4 ลิตร แช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วนำไปล้างด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและสารเคมีตกค้างได้ 35 – 45%
อย่างไรก็ตามการใช้ด่างทับทิมควรใช้อย่างระมัดระวัง เพราะหากใช้ด่างทับทิมในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจเป็นอันตายต่อระบบทางเดินอาหาร ถ้าหากสูดดมไอระเหยของด่างทับทิมเข้าไปมาก ๆ ก็อาจทำให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหาได้ และถ้าด่างทับทิมเข้าตาก็อาจทำให้ตาบอดได้
วิธีที่ 3 ใช้ผงฟู (Baking Soda) ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำอุณหภูมิปกติ 20 ลิตร แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ 15 นาที ระวังอย่าแช่ผักนานเกินไปจะทำให้ผักนั้นดูดซึมสารในเบคกิ้งโซดาอาจส่งผลทำให้รับประทานไปแล้วท้องเสียได้ แช่ผักและผลไม้ครบ 15 นาทีแล้ว จากนั้นล้างผักและผลไม้ออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้สามารถช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและสารเคมีตกค้างได้มากกว่า 80 – 95%
วิธีที่ 4 ใช้น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งน้ำส้มสายชูนั้นจะต้องมีความเข้มข้น 5% ผสมกับน้ำอุณหภูมิปกติ 4 ลิตร แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ เป็นระยะเวลา 10 นาที จากนั้นล้างผักและผลไม้ออกด้วยน้ำสะอาดปริมาณมาก วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและสารเคมีตกค้างได้ 29 – 38%
วิธีที่ 5 ใช้เกลือป่น ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำอุณหภูมิปกติ 4 ลิตร แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ เป็นระยะเวลา 10 นาที จากนั้นล้างผักและผลไม้ออกด้วยน้ำสะอาด วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและสารเคมีตกค้างได้ 27 – 38%
วิธีที่ 6 ใช้น้ำฆ่าเชื้ออิเล็กโตรไลซ์คลอริน็อกซ์* โดยผสมน้ำคลอริน็อกซ์ 1 ส่วน กับน้ำสะอาดอีก 3 ส่วน นำผักผลไม้มาแช่ไว้เป็นเวลา 5-10 นาที หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ติดมากับผักผลไม้ได้
วิธีล้างผักและผลไม้นั้นจะเลือกวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ความสะดวกของแต่ละคน โดยคำนึงถึงของที่ใกล้ตัวมากที่สุด อย่างไรก็ตามพยายามรับประทานผักและผลไม้ให้หลากหลายชนิด อย่างที่องค์การอนามัยโลกระบุว่า คนเราต้องรับประทานผัก และผลไม้อย่างน้อง 4 ขีด หรือ 400 กรัม จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และที่สำคัญอย่างมากก็คือรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพที่ดีปราศจาคโรคภัยไข้เจ็บ
*น้ำฆ่าเชื้ออิเล็คโตรไลซ์ก็คือกรดไฮโปคลอรัส เป็นน้ำที่ไว้ใช้ฆ่าเชื้อโรค ไวรัส เชื้อรา รวมไปถึงสปอร์ของเชื้อราได้ และสามารถดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างดี น้ำฆ่าเชื้ออิเล็คโตรไลซ์ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในเชิงอุตสหกรรมมาหลายปีเนื่องจากประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคที่แข็งแกร่งและปราศจากสารเคมีอันตราย ในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วโลก จากการสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ ผลวิจัยชี้ว่าน้อยคนมากที่จะแพ้น้ำกรดไฮโปคลอรัส น้ำฆ่าเชื้ออิเล็กโตรไลซ์คลอริน็อกซ์นั้นมีความอ่อนโยนต่อผิวเป็นอย่างมากเพราะมีจำนวนความเข้มข้นของคลอรีน ppm ต่ำถึงขนาดสามารถนำไปล้างผักและผลไม้เพื่อนำมารับประทานได้
น้ำฆ่าเชื้ออิเล็กโตรไลซ์คลอริน็อกซ์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความอ่อนโยน สะอาด และปลอดภัย เราขอแนะนำเครื่องผลิตน้ำอิเล็คโตรไลซ์ Chlorinox (คลอริน็อกซ์) ผลิตได้ง่ายๆที่บ้าน เพียงแค่ใช้น้ำสะอาดกับเกลือเท่านั้น ก็สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทุกที่ ทุกเวลา